แชร์วิธีชงกาแฟให้อร่อยง่ายๆ ที่บ้าน เปลี่ยนบ้านให้เป็น Home Coffee
05 มิ.ย. 67

แชร์วิธีชงกาแฟให้อร่อยง่ายๆ ที่บ้าน เปลี่ยนบ้านให้เป็น Home Coffee

 

คอกาแฟหลายคนคงคิดเหมือนกันว่า หากต้องซื้อกาแฟจากคาเฟ่ทุกวัน คงจะเปลืองเงินไม่ใช่น้อย ไหนจะต้องเสียค่าส่ง หากสั่งเดลิเวอรี แถมอากาศก็ร้อน จะให้ออกมาซื้อกาแฟแก้วเดียวก็ใช่เรื่อง วันนี้พันธุ์ไทยมาเอาใจนักดื่มกาแฟ แชร์วิธีชงกาแฟอย่างไรให้อร่อยที่บ้านง่ายๆ เอาใจคอกาแฟร้อน กาแฟเย็น อเมริกาโน คาปูชิโน มอคค่า ลาเต้ และอื่นๆ อีกมากมาย ตามมาอ่านกันเลย!

 

เมล็ดกาแฟ

 

ปัจจัยสำคัญในการชงกาแฟให้อร่อย

 

1. เลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ

 

- เลือกใช้เมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา (Arabica) ซึ่งเป็นพันธุ์กาแฟคุณภาพดี มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมที่ดี

- ควรเลือกซื้อเมล็ดกาแฟจากร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ร้านกาแฟชั้นนำ ซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำ เป็นต้น

- เมล็ดกาแฟจะต้องบรรจุอยู่ในถุงสูญญากาศที่ปิดสนิท ยังไม่ถูกเปิดออกมาสัมผัสอากาศ เพื่อป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำให้คุณภาพเสื่อมลง

- หลังจากเปิดถุงกาแฟแล้ว ควรรีบนำไปบดและชงโดยเร็ว ไม่ควรปล่อยให้เมล็ดกาแฟสัมผัสอากาศนานเกินไป

- ถ้าบดกาแฟไว้แล้ว พยายามบริโภคให้หมดภายใน 3 วัน เพราะหากเกินกว่านั้นรสชาติและกลิ่นจะค่อยๆเสื่อมลง

- ควรใช้เครื่องบดกาแฟในการบดเมล็ดก่อนชง เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมสดใหม่ที่สุด

 

การเช็คเมล็ดกาแฟว่ามีคุณภาพ ต้องดูอะไรบ้าง

- ชนิดของเมล็ดกาแฟ: เช่น อาราบิกา และโรบัสตา ซึ่งอาราบิกาจะมีรสชาติที่ละเอียดอ่อนและกลิ่นหอมมากกว่า

- แหล่งที่ปลูก: แหล่งปลูกที่มีสภาพดิน อากาศ และความสูงที่เหมาะสมจะส่งผลให้เมล็ดกาแฟมีคุณภาพดี เมล็ดจากประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งมักได้รับการดูแลอย่างดี

- วิธีการคั่ว: กระบวนการคั่วมีผลต่อรสชาติของกาแฟมาก การคั่วที่อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม จะช่วยเสริมกลิ่นและรสชาติที่ดี

- ระดับความคั่ว: เลือกระดับความคั่วตามความชอบของคุณ ตั้งแต่ไลท์เพื่อรสชาติค่อนข้างเปรี้ยวจนถึงดาร์กเพื่อรสชาติขมเข้ม

- วันที่คั่ว: เมล็ดกาแฟใหม่คั่วจะมีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด จึงควรหลีกเลี่ยงเมล็ดที่คั่วนานแล้ว

- มาตรฐาน/ใบรับรอง: เช่น Fair Trade, USDA Organic ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันมาตรฐาน

 

ผงกาแฟ

 

2. ความละเอียดของเมล็ดกาแฟ

 

การเลือกเมล็ดกาแฟที่มีความละเอียดเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการชงกาแฟให้ได้รสชาติที่ดี โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้เมล็ดกาแฟที่บดละเอียดมากกว่าบดหยาบ เนื่องจากจะทำให้ได้น้ำกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้นและดีกว่า อย่างไรก็ตาม ความละเอียดที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามวิธีการชงที่ใช้ ดังนี้

 

- กาแฟดริป : ใช้เมล็ดกาแฟบดละเอียดปานกลาง ไม่ควรบดละเอียดเกินไปเพราะจะทำให้น้ำกาแฟไหลช้ามาก แต่ก็ไม่ควรหยาบจนเกินไปเพราะจะได้รสชาติจางเกินไป

- เอสเพรสโซ: ใช้เมล็ดกาแฟบดละเอียดมาก เนื้อละเอียดเหมือนผงแป้ง เพื่อให้สามารถอัดแน่นและสกัดน้ำกาแฟได้อย่างเข้มข้น

- เฟรนช์เพรส: ใช้เมล็ดกาแฟบดหยาบกว่าวิธีอื่นๆ แต่ไม่ควรหยาบจนเกินไป เพื่อให้กากกาแฟไม่ผ่านไปยังน้ำกาแฟส่วนที่ดื่ม

- เทอร์คิชคอฟฟี่ หรือ กราวน์: ใช้เมล็ดกาแฟบดละเอียดที่สุดเหมือนผงละเอียด เนื่องจากจะชงด้วยวิธีต้มให้เดือด

 

ขนาดละเอียดของการบดเมล็ดกาแฟที่เหมาะสมจะทำให้สกัดกลิ่นรสกาแฟได้ดีที่สุดสำหรับวิธีการชงนั้นๆ ไม่ควรบดละเอียดหรือหยาบจนเกินไป เพื่อคุณภาพและรสชาติกาแฟที่ดีเยี่ยม

 

3. อุณหภูมิของน้ำในการชงกาแฟ

อุณหภูมิของน้ำมีบทบาทสำคัญต่อการชงกาแฟที่มีรสชาติดีเยี่ยม โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิระหว่าง 90-96 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยสกัดสารต่างๆ ออกจากเมล็ดกาแฟได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

 

- ต่ำกว่า 90 องศา: จะสกัดรสชาติกาแฟได้ไม่เต็มที่ ทำให้รสชาติจืดชืด และขาดกลิ่นหอม

- 90-96 องศา (195-205 F): ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด จะทำให้สกัดรสชาติกาแฟได้อย่างสมบูรณ์ มีกลิ่นหอม รสเปรี้ยว และความขมพอดี

- 96-100 องศา: รสชาติจะเริ่มมีความขมมากเกินไป เนื่องจากสารประกอบบางอย่างถูกสกัดออกมามากเกินไป

- สูงกว่า 100 องศา: น้ำจะเดือดและไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้กาแฟมีรสขมเข้มมากเกินไป และกลิ่นรสถูกทำลายไป

 

นอกจากนี้ สำหรับวิธีการชงแบบกดกรอง อุณหภูมิของน้ำก็มีความสำคัญ โดยหากใช้อุณหภูมิสูงกว่า 96 องศา อาจทำให้รสชาติเป็นขมและขมเกินไป ดังนั้น การใช้อุณหภูมิน้ำร้อนที่เหมาะสมสำหรับการชงกาแฟจะทำให้ได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด โดยไม่ขมหรือจางเกินไป

 

4. ระยะเวลาในการชงกาแฟ

 

ระยะเวลาในการชงกาแฟมีความสำคัญมากในการได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

- กาแฟดริป: ระยะเวลาในการชงที่เหมาะสมคือ 4-5 นาที หากชงนานเกินไปจะได้รสชาติขมเกินไป ส่วนถ้าชงน้อยเกินไปจะได้รสชาติจืดไม่เข้มข้น

- เอสเพรสโซ: ระยะเวลาชงจะสั้นมาก ประมาณ 25-30 วินาทีเท่านั้น เพื่อสกัดน้ำกาแฟความเข้มข้นสูงพอเหมาะ

- เฟรนช์เพรส: ระยะเวลาการชงทั่วไปคือ 4 นาที โดยแช่น้ำร้อนกับเมล็ดกาแฟบด จากนั้นค่อยๆ กดกากลงไป

- เทอร์คิชคอฟฟี่: การชงจะใช้เวลานานถึง 8-10 นาที โดยต้มน้ำกับเมล็ดกาแฟเคี่ยวช้าๆเพื่อให้สกัดได้ความเข้มข้น

- กาแฟสกัดเย็น: เป็นการชงกาแฟแบบน้ำเย็นจึงต้องใช้เวลานาน ตั้งแต่ 16-24 ชั่วโมง เพื่อให้กาแฟถูกสกัดอย่างสมบูรณ์

 

โดยทั่วไป การชงกาแฟให้นานเกินไปจะทำให้ได้รสชาติที่ขมหรือฝาดมากเกินไป แต่ถ้าชงน้อยเกินก็จะได้รสชาติกาแฟจืดเกินไป ดังนั้นการคำนวณระยะเวลาตามวิธีการชงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

5. สัดส่วนของน้ำในการชงกาแฟ

 

สัดส่วนของน้ำต่อเมล็ดกาแฟมีความสำคัญมากในการชงกาแฟ เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้สัดส่วนดังนี้

 

1. สำหรับการชงแบบรายบุคคล (1-2 แก้ว)

     - อัตราส่วน 1:15 ถึง 1:17 เป็นอัตราส่วนมาตรฐาน

     - ตัวอย่างเช่น ใช้เมล็ดกาแฟ 15 กรัม ต่อน้ำ 225-255 มล.

2. สำหรับการชงแบบหลายแก้วหรือในครัวเรือน

     - อัตราส่วน 1:16 ถึง 1:18 เป็นอัตราส่วนทั่วไป

     - ตัวอย่างเช่น ใช้เมล็ดกาแฟ 60 กรัม ต่อน้ำ 960-1,080 มล.

3. สำหรับกาแฟเอสเพรสโซ

     - อัตราส่วนประมาณ 1:2

     - ใช้เมล็ดกาแฟ 7-8 กรัม ต่อน้ำหนัก 14-16 กรัม

 

หากใช้น้ำมากเกินไป จะทำให้กาแฟมีรสจางเกินไป ขาดกลิ่นและรสชาติ แต่หากใช้น้ำน้อยเกินไป จะได้กาแฟที่มีรสชาติเข้มข้นและขมเกินไป นอกจากอัตราส่วนแล้ว การชั่งน้ำหนักเมล็ดกาแฟให้แม่นยำก็มีความสำคัญมาก เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้จะทำให้การชงกาแฟมีรสชาติอร่อยตามที่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ

 

 

วิธีชงกาแฟให้อร่อยกับ 5 สูตรเด็ดกาแฟยอดนิยม

 

อเมริกาโน่เย็น

 

1. สูตรการชงอเมริกาโน่เย็น

 

ส่วนผสมของอเมริกาโนเย็น

- เอสเพรสโซช็อตร้อนประมาณ 60 มล. (ชงจากเมล็ดกาแฟ 14-18 กรัม)

- น้ำเย็น/น้ำแข็ง ประมาณ 120-180 มล.

- โซดาน้ำแร่เย็น (ถ้าต้องการ)

 

วิธีชงกาแฟอเมริกาโนเย็น

1. ชงเอสเพรสโซช็อตร้อน 1-2 ช็อต ลงในแก้วที่ใส่น้ำแข็งไว้แล้ว

2. เติมน้ำเย็นหรือน้ำแร่เย็นลงไปตามปริมาณที่ต้องการ โดยใช้สัดส่วนประมาณ 1 ส่วนกาแฟต่อ 2-3 ส่วนน้ำ

3. คนให้เข้ากัน รสชาติจะเป็นกาแฟเข้มข้น หอมกรุ่น มีรสหวานเล็กน้อยจากกาแฟคั่วเข้ม

 

สิ่งสำคัญคือการใช้กาแฟเข้มข้น อย่างเอสเพรสโซร้อน เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟเข้มข้นแม้เจือจางด้วยน้ำและน้ำแข็ง โดยสัดส่วนน้ำสามารถปรับได้ตามความชอบของแต่ละคน หากใช้น้ำมากจะได้รสชาติกาแฟอ่อนลง แต่จะเย็นและดื่มได้สะดวกขึ้น

 

การใช้น้ำแร่เย็นแทนน้ำเปล่าจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟได้ด้วย เนื่องจากความเป็นกรดเล็กน้อยและแร่ธาตุในน้ำแร่จะทำปฏิกิริยากับกรดในกาแฟ ทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น

 

โดยรวมแล้ว Iced Americano เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่เข้มข้น หอมกรุ่น สดชื่น เหมาะสำหรับดื่มในช่วงวันร้อนๆ

 

ชงกาแฟดริป

 

2. สูตรการชงกาแฟดริป

 

ส่วนผสมของกาแฟดริป

- เมล็ดกาแฟคั่วบดสด ประมาณ 60 กรัม (สำหรับกาแฟ 4-6 แก้ว)

- น้ำสะอาด ประมาณ 600-900 มล.

- เครื่องชงกาแฟแบบดริปหรือดริปเปอร์ และกระดาษกรองกาแฟ

 

วิธีชงกาแฟดริป

1. ชั่งเมล็ดกาแฟบดให้ได้สัดส่วนที่ต้องการ ประมาณ 1 ส่วนกาแฟต่อ 16-18 ส่วนน้ำ

2. วางกระดาษกรองลงในดริปเปอร์และเทเมล็ดกาแฟบดลงไป

3. ตั้งอุณหภูมิน้ำร้อนที่ประมาณ 90-96 องศาเซลเซียส

4. เริ่มเทน้ำร้อนลงบนเมล็ดกาแฟบด โดยให้น้ำกระจายทั่วพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ

5. รอให้น้ำกาแฟค่อยๆ ไหลลงมาในเหยือกรองรับ

6. เมื่อน้ำกาแฟไหลออกหมดแล้ว ให้คนเบาๆ เพื่อให้กาแฟชั้นบนและชั้นล่างเข้ากัน

7. รินกาแฟใส่แก้ว พร้อมเสิร์ฟ หากต้องการเติมรสหวานให้ใส่น้ำตาลหรือไซรัปลงไป

 

จุดสำคัญคือการใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดี บดสด ใช้อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม และสัดส่วนกาแฟต่อน้ำที่พอดี จะทำให้ได้กาแฟดริปที่หอมกรุ่น มีรสชาติดี ไม่จางหรือเข้มจนเกินไป การชงกาแฟดริปที่ดีจะให้น้ำกาแฟมีรสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมของกาแฟ ขมพอประมาณ มีรสนุ่มนวล สามารถปรับแต่งได้ตามความชอบ ตามไปอ่านวิธีดริปกาแฟแบบละเอียดยิบกับพันธุ์ไทยต่อได้เลย!

 

กาแฟมัคคิอาโต้ร้อน

 

3. สูตรการชงกาแฟมัคคิอาโต้

 

ส่วนผสมของกาแฟมัคคิอาโต้

- เอสเพรสโซช็อต 1-2 ช็อต (ประมาณ 30-60 มล.)

- นมสดอุณหภูมิห้อง 90-180 มล.

- น้ำตาลทรายหรือไซรัปตามชอบ (เช่น คาราเมล, วานิลลา)

 

วิธีชงกาแฟมัคคิอาโต้

1. ชงเอสเพรสโซช็อตร้อนลงในถ้วยหรือแก้วที่ทนความร้อนได้

2. ใช้เครื่องสตีมนมหรือเครื่องฟองนม ฟองนมสดให้มีฟองนมหนานุ่ม

3. เทนมที่ฟองนุ่มแล้วลงในถ้วยเอสเพรสโซ โดยให้ชั้นฟองนมอยู่ด้านบน

4. หากต้องการ สามารถเสริมรสด้วยการเติมน้ำตาลทราย ไซรัปคาราเมล หรือวานิลลาเซอร์ทามประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ

5. ตกแต่งด้วยการโรยผงกาแฟหรือผงโกโก้ด้านบน

 

สิ่งสำคัญคือการฟองนมให้เนื้อละเอียดนุ่ม มีเนื้อสัมผัสครีมมี่ ผสานกับความเข้มข้นหอมกรุ่นของเอสเพรสโซ จึงจะได้รสชาติมัคคิอาโตที่กลมกล่อม อร่อยในรสนิยมสากล อาจมีการปรับเพิ่มวัตถุดิบบางอย่างเช่น ไซรัป วิปปิ้งครีม พุดดิ้งคาราเมล เพื่อเพิ่มกลิ่นรส และความหวานตามต้องการ แต่หลักสำคัญคือการผสมผสานระหว่างนมกับเอสเพรสโซช็อตเข้มข้นนั่นเอง

 

คาปูชิโน่ร้อน

 

4. สูตรการชงคาปูชิโน

 

ส่วนผสมของคาปูชิโน

- เอสเพรสโซช็อต 1-2 ช็อต (30-60 มล.)

- นมสดอุณหภูมิห้อง 50-100 มล.

- น้ำตาลทรายหรือไซรัปตามชอบ (ประมาณ 1-2 ช้อนชา)

- ผงโกโก้เพื่อโรยหน้า

 

วิธีชงกาแฟคาปูชิโน

1. ชงเอสเพรสโซช็อตร้อนลงในแก้วหรือถ้วยคาปูชิโน

2. ใช้หัวฟองนมหรือเครื่องฟองนม ฟองนมสดให้ได้ฟองนมแน่นเนื้อเนียนละเอียด แต่ไม่จำเป็นต้องมากเท่ากับการฟองนมสำหรับลาเต้

3. เทนมและฟองนมที่ฟองแล้วลงในถ้วยคาปูชิโนให้เต็ม โดยปริมาณฟองนมมากกว่าลาเต้

4. โรยผงโกโก้หนาๆด้านบนเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติ

5. หากต้องการสามารถเติมน้ำตาลหรือไซรัปได้ตามชอบ

 

จุดสำคัญของคาปูชิโนคือมีปริมาณฟองนมมากกว่าลาเต้ แต่น้อยกว่ากาแฟพิคโคโล่ เนื้อฟองนมละเอียดและหนาแน่นพอประมาณ เพิ่มความหนาเนื้อให้เครื่องดื่ม โดยผงโกโก้จะเพิ่มรสขมช็อคโกแลตที่เป็นเอกลักษณ์ รสชาติโดยรวมจะเป็นกาแฟเข้มข้นจากเอสเพรสโซผสมนม มีรสหวานจากนมและฟองนม พร้อมกลิ่นหอมของผงโกโก้ด้านบน ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนชอบกาแฟรสเข้มข้นแต่ไม่อยากแรงเกินไปจากกาแฟดำ

 

มอคค่าเย็น

 

5. สูตรการชงมอคค่า

 

ส่วนผสมของมอคค่า

- เอสเพรสโซช็อต 1-2 ช็อต (30-60 มล.)

- ผงโกโก้/ช็อกโกแลตผง 2-3 ช้อนชา

- นมสด 60-120 มล.

- วิปปิ้งครีม/ชานติลลี่ (เป็นฟองนมสำเร็จรูป)

- ช็อกโกแลตชิพหรือผงโกโก้เพิ่มเติมสำหรับโรยหน้า

 

วิธีชงกาแฟมอคค่า

1. ชงเอสเพรสโซช็อตร้อนลงในแก้วมอคค่า

2. ใส่ผงโกโก้หรือช็อกโกแลตผงลงในแก้ว คนให้เข้ากับเอสเพรสโซจนละลายเข้ากัน

3. ฟองนมสดด้วยหัวฟองนมหรือเครื่องฟองนม จนได้ฟองนมเนื้อแน่น แต่ไม่ต้องฟองมากจนเกินไป

4. เทนมและฟองนมลงในแก้วที่มีส่วนผสมเอสเพรสโซ-ช็อกโกแลตแล้ว

5. ตกแต่งด้วยวิปปิ้งครีมหรือชานติลลี่โรยหน้า พร้อมโรยช็อกโกแลตชิพหรือผงโกโก้อีกชั้นหนึ่ง

 

จุดเด่นของมอคค่าคือความหวานมันจากช็อกโกแลต ผสมผสานกับรสกาแฟเข้มข้นหอมกรุ่นจากเอสเพรสโซ ให้รสชาติครบรสทั้งหวาน ขม และมีกลิ่นหอมจากนม ช็อกโกแลตภายในจะละลายเข้ากับเอสเพรสโซ ขณะที่ฟองนมและวิปปิ้งครีมเพิ่มความนุ่มนวล ส่วนช็อกโกแลตชิพโรยหน้าเพิ่มกลิ่นหอมและความกรอบ รสชาติโดยรวมจึงอุดมด้วยรสช็อกโกแลตเข้มข้น มอคค่าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนรักรสหวานมันของช็อกโกแลต ผสมกับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น สามารถปรับปริมาณผงโกโก้และฟองนมได้ตามความชอบ

 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 5 สูตร วิธีชงกาแฟให้อร่อยง่ายๆ ที่บ้าน หากเราไม่อยากออกจากบ้าน เพียงแค่ซื้อเมล็ดกาแฟดี มีคุณภาพ อย่างเมล็ดกาแฟพันธุ์ไทย แล้วหาเครื่องชงกาแฟดีๆ ที่บ้านไว้สักเครื่อง แล้วลองทำตามสูตรชงกาแฟร้อน สูตรชงกาแฟเย็น รับรองว่าอร่อยติดใจ เหมือนมีบาริสต้ามาชงให้เองกับมือ อ่านบทความดีๆ เกี่ยวกับกาแฟได้ที่บล็อกพันธุ์ไทย หรือ สำหรับใครที่ไม่ว่างชงกาแฟเอง พันธุ์ไทยนำเสนอเมนูกาแฟมากมาย รสชาติกาแฟของเราเข้มเต็มรสกาแฟแน่นอน เพราะเราใช้เมล็ดกาแฟชั้นดี คอกาแฟห้ามพลาด!

 

อ้างอิง:

- 15 สูตรชงกาแฟสดให้อร่อย เมนูยอดนิยมที่ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน | Nespresso

- How to ทำกาแฟสดแบบมืออาชีพง่ายๆ ที่บ้านเองได้ง่ายสุดๆ