ทำความรู้จัก "เมล็ดกาแฟอาราบิก้า"
03 เม.ย. 67

ทำความรู้จัก "เมล็ดกาแฟอาราบิก้า" กว่าจะเป็นกาแฟพันธุ์ไทยหอมกรุ่น

 

 หากพูดถึงเมล็ดกาแฟ คอกาแฟหลายๆ คนคงคุ้นหูกับ “เมล็ดกาแฟอาราบิก้า” ไม่ก็ “เมล็ดกาแฟโรบัสต้า” เพราะเมล็ดกาแฟสองสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมในหมู่นักดื่มกาแฟทั่วโลก ในบ้านเราก็เช่นกัน จึงมีการตั้งข้อสงสัยกันว่าทำไมกาแฟคั่วบดอาราบิก้าจึงฮิตติดลิ้นกันนะ วันนี้พันธุ์ไทยจะชวนมาทำความรู้จักเมล็ดกาแฟอาราบิก้าตั้งแต่ต้นกำเนิดไปจนถึงการชงและการดื่มกาแฟอาราบิก้า ที่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติและกลิ่นหอมที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์สุดๆ กัน

 

ประวัติและที่มาของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า

 

ต้นกาแฟอาราบิก้า

 

ต้นกำเนิดของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า

 

 เมล็ดกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของเมืองอาบีซีเนีย (Abyssinia) และเมืองอาราเบีย (Arabia) ซึ่งตามประวัติศาสตร์ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 6 ราวปี ค.ศ. 575 ในประเทศอาระเบีย (Arabia) บ้างก็กล่าวว่ากาแฟอาราบิก้าถูกค้นพบในเมืองคัพฟา (Kaffa) ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศเอธิโอเปีย (Ethiopia) คนพื้นเมืองจึงตั้งชื่อกาแฟตามชื่อจังหวัดต้นกำเนิดนั้นๆ ต่อมาเมล็ดกาแฟอาราบิก้าก็เริ่มโด่งดังขึ้นมาในประเทศอาราเบีย และเริ่มแพร่หลายเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์และเยอรมัน และแพร่หลายไปทั่วโลกในที่สุด

 

ที่มาของเมล็ดกาแฟอาราบิก้าในประเทศไทย

 

 สำหรับต้นกำเนิดของกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า (C. Arabica) ในประเทศไทยนั้น ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธ์ ซึ่งเป็นชาวอิตาลีกล่าวว่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้าได้ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ. 2493 ในช่วงแรกยังประสบปัญหากับการปลูก เนื่องจากสภาพปลูกที่ไม่เหมาะสม ต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญการปลูกกาแฟชาวอเมริกัน จนสามารถปลูกได้สำเร็จได้ในบริเวณภาคเหนือ เนื่องจากเมล็ดกาแฟชนิดนี้ชอบอากาศหนาว ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 มีโครงการปลูกพืชทดแทนและพัฒนาเศรษฐกิจชาวไทยภูเขา จึงได้มีการส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น ซึ่งมีการปลูกกาแฟอาราบิก้าทดแทนฝิ่นและสามารถทำรายได้แก่เกษตรกรชาวเขาได้เป็นอย่างดีตราบจนถึงทุกวันนี้ กาแฟพันธุ์ไทยก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สนับสนุนการปลูกกาแฟสายพันธุ์ชั้นดีอย่างเมล็ดกาแฟอาราบิก้าในประเทศไทย จนทำให้เมล็ดกาแฟคั่วบดอาราบิก้าของพันธุ์ไทยนั้นหอมกรุ่นกว่าใคร

 

7 สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า

 

สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า

 

1. ทิปิก้า (Typica)

 

 ทิปิก้าเป็นกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในทุกภูมิภาค และเป็นสายพันธุ์ต้นแบบที่นำมาพัฒนาเป็นสายพันธุ์อื่นๆ ต้นกาแฟทิปิก้ามีลำต้นหลักและลำต้นรองที่เอียงไปทางด้านข้าง โดยมีกิ่งก้านแขนงออกจากลำต้นในมุมประมาณ 50-70 องศา ทำให้ต้นกาแฟมีรูปร่างคล้ายกรวยทรงสูง แม้ว่าต้นทิปิก้าจะให้ผลผลิตต่ำ แต่เมล็ดกาแฟที่ได้มีคุณภาพสูงและรสชาติอร่อยเลิศ

 

2. บูร์บอน (Bourbon)

 

บูร์บอนเป็นกาแฟอาราบิก้าที่มีสายพันธุ์ย่อยหลากหลายสายพันธุ์ เช่นเดียวกับทิปิก้าที่มีการพัฒนาสายพันธุ์มาจากเบอร์บอน สายพันธุ์นี้พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1708 บนเกาะบูร์บอนในมหาสมุทรอินเดีย ต้นบูร์บอนมีใบที่กว้างกว่าและผลสดที่ใหญ่กว่าพันธุ์ทิปิก้า รูปทรงต้นก็เป็นรูปกรวยเช่นเดียวกันกับทิปิก้า แต่บูร์บอนสามารถให้ผลผลิตมากกว่าทิปิก้าถึง 20-30% และให้รสชาติที่นุ่มละมุนลิ้น 

 

3. คาทูร์รา (Caturra)

 

 เมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้ถูกค้นพบในประเทศบราซิล และได้ชื่อมาจากชื่อเมืองที่ค้นพบ คาทูร์ราเป็นสายพันธุ์ดัดแปลงมาจากบูร์บอน แม้จะถูกค้นพบในบราซิล แต่คาทูร์ราเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในประเทศโคลอมเบียและอเมริกาใต้ ผลิตเครื่องดื่มกาแฟคั่วบดอาราบิก้าที่มีรสชาติที่สดใส คาทูร์รามีใบที่กว้างและมีขอบหยักเหมือนบูร์บอน แต่จะมีลักษณะเตี้ยและหนาทึบมากกว่า แม้ว่าคาทูร์ราจะให้ผลผลิตที่สูงกว่าบูร์บอน แต่มีรสชาติที่จางกว่า และต้องการการดูแลเอาใจใส่กว่ามาก

 

4. มุนโดนูโว (Mundo Novo)

 

 เป็นพันธุ์ผสมที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1940 จากการผสมระหว่างพันธุ์บูร์บอนและทิปิก้า เป็นกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและมีความต้านทานต่อโรคต่างๆ การเก็บเกี่ยวผลผลิตจะช้ากว่าสายพันธุ์อื่นๆ

 

5. คาทุย (Catuai)

 

เป็นผลพันธุ์จากการผสมระหว่างพันธุ์คาตูร์ราและมุนโดนูโว ลักษณะของต้นคาทุยจะมีลักษณะที่เตี้ยและหนาทึบ ให้ผลผลิตสูง แต่ต้องการการดูแลและปุ๋ยชั้นดี ซึ่งสายพันธุ์นี้จะให้ผลสดสีเหลืองหรือสีแดง มีรสชาติคล้ายผลไม้

 

6. บลูเม้าท์เท่น (Blue Mountain)

 

เมล็ดกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์นี้ถูกปลูกขึ้นในประเทศจาเมกา เป็นสายพันธุ์ย่อยของทิปิก้า โดดเด่นด้วยความทนทานต่อโรคราสนิม กาแฟบลูเม้าท์เท่นจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูง และได้รับการปลูกบนเทือกเขาบลูเม้าท์เท่น จึงเป็นที่มาของชื่อสายพันธุ์นี้นั่นเอง

 

7. เกอิชาหรือเกชา (Geisha/ Gesha) 

แค่ชื่อก็ชนะขาดลอยแล้ว เป็นเมล็ดกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของตลาดสูงมาก ลักษณะเด่นของสายพันธุ์นี้คือ เมล็ดมักมีลักษณะเรียวยาวโดยมีปลายเมล็ดออกแหลมเล็กน้อย และกิ่งบริเวณใกล้ยอดนั้นเฉียงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ โดยมีองศาระหว่างลำต้นแกนหลักกับกิ่งที่ราวประมาณ 40-50 องศา ผลสุกของเกอิชาให้รสชาติและกลิ่นที่แตกต่างจากทุกสายพันธุ์ เพราะมีความหอมหวานแบบผลไม้และดอกไม้ที่ชัดเจน

 

ลักษณะเด่นของกาแฟอาราบิก้า

 

1. ลักษณะของเมล็ด

 

เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีรูปทรงกลมค่อนไปทางรี และมีสีน้ำตาลเข้ม

 

2. การเพาะปลูก

 

เนื่องจากต้นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าค่อนข้างบอบบาง จึงต้องปลูกอยู่ในพื้นที่สูง ประมาณ 800 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่เย็นและมีความชื้นสูง

 

3. รสชาติ

 

กาแฟคั่วบดอาราบิก้าจะมีรสชาติที่เรียกได้ว่ามีหลากหลายมิติและซับซ้อนแต่คมชัด สามารถมีรสชาติที่นุ่มนวล ขมออกหวาน หรือ ขมออกเปรี้ยวก็ได้ ซึ่งหลายคนค้นพบว่าคล้ายรสชาติของผลไม้ตระกูลเบอร์รี

 

4. ระดับคาเฟอีน

 

เป็นที่น่าแปลกใจว่ากาแฟอาราบิก้านั้นมีระดับคาเฟอีนที่ต่ำกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หากวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ อาราบิก้า 1 เมล็ดจะมีระดับคาเฟอีนอยู่เพียงประมาณ 1.2 – 1.5% เท่านั้น

 

10 คุณประโยชน์จากการดื่มกาแฟอาราบิก้า

 

1. ช่วยป้องกันโรคหัวใจ เนื่องจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้าช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

2. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

3. ช่วยลดความอ่อนล้าของร่างกาย กาแฟอาราบิก้าจึงถือเป็นยาชูกำลังที่มาในรูปแบบของกาแฟ

4. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

5. ช่วยลดอาการปวดศีรษะจากไมเกรน

6. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อกระดูกและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์

7. ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการโรคหอบหืด

8. ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

9. การดื่มกาแฟดำที่คั่วจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ช่วยลดน้ำระดับตาลในเลือดได้

10. หากเราได้รับคาเฟอีน 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม คาเฟอีนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะในการออกกำลังกาย

 

การชงและการดื่มกาแฟอาราบิก้าอย่างถูกวิธี

 

การชงกาแฟอาราบิก้า

 

การชงกาแฟอาราบิก้าให้คงความเข้มเต็มรสกาแฟมีหลากหลายวิธีด้วยกัน แต่วันนี้พันธุ์ไทยขอนำเสนอการดริปกาแฟแบบง่ายๆ เพราะการดริปกาแฟจะช่วยให้เราได้สัมผัสรสชาติของกาแฟที่เข้มข้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงความนุ่มนวลและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ การดริปกาแฟอาราบิก้าจึงกลายเป็นวิธีชงกาแฟยอดนิยม ซึ่งวิธีการดริปกาแฟจะขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน รวมไปถึงปริมาณกาแฟและน้ำในการดริป จึงทำให้อัตราส่วนของวัตถุดิบแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสูตร

 

 

การดริปกาแฟ

 

สูตรการดริปกาแฟแบบง่ายๆ

 

1. เตรียมเมล็ดกาแฟคั่วบดอาราบิก้าระดับความละเอียดตามใจชอบ

2. ต้มน้ำอุณหภูมิ 92-95 องศาเซลเซียส เพื่อให้กาแฟมีรสชาติกลมกล่อมและไม่ขมจนเกินไป

3. วางกระดาษกรองลงในดริปเปอร์ เทน้ำร้อนลงบนกระดาษกรองเล็กน้อย เพื่อลดกลิ่นของกระดาษ และเทน้ำทิ้ง ก่อนที่จะเทกาแฟคั่วบดลงไปตรงกลางของกระดาษ

4. เทน้ำจากกาดริปช้าๆ โดยเริ่มจากตรงกลางแล้ววนออกด้านนอก เทแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณ 30-45 วินาที

5. จากนั้นให้เพิ่มความเร็วในการเทน้ำในช่วง 1 นาทีแรก ก่อนจะลดระดับลงมาเมื่อเข้าสู่ช่วงนาทีที่ 2

6. เทน้ำจากกาดริปช้าๆ จนถึงช่วงนาทีที่ 2-3 และรอให้น้ำหยดจนหมด

7. รินน้ำกาแฟที่ได้จากโถรองใส่แก้ว พร้อมเสิร์ฟ

 

การดื่มกาแฟอาราบิก้า

 

เมล็ดกาแฟคั่วบดอาราบิก้าที่ได้ชื่อว่าเป็นกาแฟที่ให้ความเข้มข้นแต่นุ่มละมุน จึงเหมาะกับการนำไปทำเมนูกาแฟร้อนต่างๆ เช่น อเมริกาโนร้อน คาปูชิโน่ร้อน มอคค่าร้อน หรือลาเต้ร้อน เพราะรสชาติที่นุ่มละมุนนี้ จะช่วยเสริมให้เมนูกาแฟร้อนดื่มง่ายขึ้น และได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตาม การนำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าไปชงเป็นกาแฟเย็นก็สามารถนำไปทำได้หลากหลายเมนูเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูใส่นมหรือเมนูที่นำไปชงกับผลไม้ ก็ให้รสชาติที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ พันธุ์ไทยสร้างสรรค์เมนูที่หลากหลายผ่านความพิถีพิถันในการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่ปลูกในประเทศไทยมาครีเอทหลากหลายเมนูที่แปลกใหม่พร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

 

4 กาแฟพันธุ์ไทยอาราบิก้าชนิดดริปที่ต้องลอง!

 

กาแฟพันธุ์ไทยอาราบิก้าชนิดดริป

 

กาแฟพันธุ์ไทยขอชวนคอกาแฟดริปมาดื่มด่ำกับกาแฟอาราบิก้าแบบง่ายๆ ได้ที่บ้านกัน สัมผัสรสชาติของกาแฟดริปพันธุ์ไทย x ดอยตุง กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ภายใต้โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เบลนด์พิเศษเพื่อพันธุ์ไทย จนได้รสชาติและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ มีทั้งหมด 4 รสชาติ ได้แก่

 

1. Dark Wood

 

กาแฟอาราบิก้าคั่วระดับเข้มที่เต็มไปด้วยรสชาติที่ชวนค้นหา จุดเด่นของมันก็คือรสชาติโทนดาร์กช็อกโกแลต เข้ม แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายโทนนัตตี้ และน้ำตาลทรายแดง เปรียบเสมือนการเดินทางในป่ายามค่ำคืน

 

2. Cedar Forest

 

กาแฟอาราบิก้าคั่วระดับกลาง ให้กลิ่นอายความสดชื่นของใบสนและสมุนไพร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นช็อกโกแลต และน้ำตาลทรายแดง เปรียบเสมือนการเดินทางในป่าสนอันเขียวขจี

 

3. Tropical Fresh

 

กาแฟอาราบิก้าคั่วระดับกลาง ให้รสชาติหวาน ชุ่มฉ่ำคล้ายน้ำผลไม้ ซึ่งให้รสชาติของผลพลัม และความหวานจากคาราเมลที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เพิ่มความสดชื่นในการดื่มด่ำกาแฟ เปรียบเสมือนการเดินทางในป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์

 

4. Creamy Hills

 

กาแฟอาราบิก้าคั่วระดับกลางถึงเข้มที่มีรสสัมผัสนุ่มนวลชวนฝัน มีกลิ่นอายอัลมอนด์ คาราเมล ใครที่ชอบอัลมอนด์ถูกใจสิ่งนี้ เมื่อดื่มไปแล้วจะให้ความรู้สีกที่เบา สบาย เปรียบเสมือนการเดินทางบนเนินเขาที่อบอุ่น

 

พอได้ทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟอาราบิก้าก็หลงรักกาแฟอาราบิก้าเข้าเต็มๆ เลยใช่ไหมล่ะ ถึงแม้ว่าเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้จะมีมากมายหลายชนิด แต่อาราบิก้าแต่ละชนิดก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอาราบิก้าของพันธุ์ไทย ที่เน้นการผสมผสานกันอย่างลงตัวกับกาแฟท้องถิ่นที่ปลูกในประเทศไทย อย่างเมล็ดกาแฟอาราบิก้าคั่วพันธุ์ไทยและกาแฟอาราบิก้าชนิดดริป จึงทำให้กาแฟอาราบิก้าของเรามีรสชาติที่เข้มเต็มรสกาแฟ แต่ยังแฝงไปด้วยความนุ่ม ละมุนลิ้น หอมกลิ่นเมล็ดกาแฟคั่วที่ไม่เหมือนใคร สำหรับใครที่หลงรักกาแฟ สามารถติดตามเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับกาแฟและกาแฟพันธุ์ไทยได้ที่ เว็บไซต์ หรือ เฟซบุ๊คกาแฟพันธุ์ไทย บอกเลยว่าคอกาแฟต้องเลิฟ!

 

อ้างอิง:

https://research.hrdi.or.th/public/upload/fj11zku0i6.pdf
https://www.coffeeam.com/pages/different-types-of-arabica-coffee
https://www.aromathailand.com/arabica-and-robusta-differences/
https://www.doiwhan-cnx.com/article/6/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2